จุดเริ่มต้น เมื่อไตเสื่อม

“ไตเสื่อม” จุดเริ่มคุณภาพชีวิตที่ถดถอย

“เมื่อป่วย คนทั่วไปชอบกินยา….คนฉลาดกว่าชอบกินอาหารดีๆ”

ลองนึกถึงตอนเช้าๆ ตอนตื่น บางวันก็สดชื่นบ้าง ไม่สดชื่นบ้าง

แต่กิจกรรมแรกที่ทุกคนมักจะทำอย่างอัตโนมัติก่อนคืออะไรค่ะ?
แน่นอนคนส่วนใหญ่ต้องตอบว่า เดินเข้าห้องน้ำไป “ฉี่” หรือพูดให้สุภาพๆ ว่าไป “ปัสสาวะ” นะสิถามได้

และบางคนก็มักจะตื่นมา “ปัสสาวะ” กลางดึก ทั้งๆ ที่ไม่อยากตื่นก็มีเยอะ
พอจะกลับไปนอนก็นอนไม่หลับ หรือบางคนก็หลับยากซะอีก อุต๊ะ!

หลายคนคงสงสัย ว่าทำไมร่างกายต้องบังคับให้คนเราตื่นมา “ปัสสาวะ” กลางดึกละเนี้ย? 

คำตอบก็คือ โดยปกติร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีระบบขับของเสียต่างๆ ในเลือด ให้ผ่านปัสสาวะออกมาค่ะ

ซึ่งในหนึ่งวันของคนเรา ก็ต้องมีปัสสาวะประมาณ 5-8 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะครั้งละ 150-300 ซีซี และไม่เกิน 1-2 ครั้ง ในเวลากลางคืน

**ปริมาณของปัสสาวะอาจจะลดลงได้ ถ้ามีการเสียน้ำไปทางอุจจาระและทางเหงื่อ 

**จากการดื่มน้ำปริมาณที่แนะนำ 2 ลิตร หรือ 2000 ซีซีต่อวัน

ดังนั้น ถ้าคนเรามีอายุยืน 80 ปี คนเราจะมีจำนวนปัสสวะรวมทั้งชีวิต เฉลี่ยถึง 175,200 ครั้งเลยทีเดียวค่ะ!

ดูแล้วเยอะจัง งั้นจะดีไหม ถ้าคนเราไม่ต้อง “ปัสสาวะ” ??
ดูประหยัดเวลาดี ไม่เสียเวลาวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งกลางวัน และกลางคืนเลยค่ะ

และถ้าต่อไปจากนี้ทุกคนตื่นมา ไม่ต้อง “ฉี่” เลย จะเกิดอะไรขึ้น?

เสียชีวิตค่ะ เสียชีวิต…

ในความเป็นจริงที่น่าตกใจ ทราบไหมว่ามีคนแบบนี้จริงๆ นั่นก็คือ ผู้ป่วยไตเสื่อมเรื้อรังระยะสุดท้าย

กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่สามารถ “ปัสสาวะ” ได้ และจะทำให้เกิดมีของเสียสะสมจนของเสียในเลือดมีระดับที่เกินความปลอดภัย เกลือแร่ในร่างกายบางตัวเกิน จนเป็นอันตรายถึงชีวิต

เฉพาะในประเทศไทย มีผู้ป่วยไตระยะสุดท้ายถึง 2 แสนคน!

และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสถิติที่น่าตกใจคือ คนไทยเป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรัง ถึงขั้นเสียชีวิต 108 คนต่อวัน!

“ข้อมูลจาก สสส. พบว่าคนไทยป่วยเป็นไตเสื่อมเรื้อรังรวมทุกระยะ ประมาณ 8 ล้านคน ป่วยเพิ่มปีละกว่า 7,800 ราย ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนไตทำได้เพียงปีละ 500 ราย และมีค่าใช้จ่ายการดูแลผู้ป่วยเฉลี่ย 30,000 บาทต่อคนต่อเดือน !”

เมื่อ “ไตเสื่อม” จึงเป็นภาวะที่ทำให้สุขภาพผู้ป่วยบอบบาง..คุณภาพชีวิตถดถอย รวมถึงสุขภาพของคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน

ผู้ป่วยไตเสื่อม จะมีดังนี้ค่ะ ลองสังเกต ตัวเองกันดูนะคะ

1. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย

2. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย

3. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท

4. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น

5. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล

6. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย

7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ

8. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย

และเมื่อ ไตเสื่อม ต้องจำกัดการกินอาหารแบบสุดๆ มีของที่กินได้น้อยกว่า ของที่กินไม่ได้ ถ้าฝืนกินก็จะป่วยหนัก และยังต้องจำกัดการดื่มน้ำไม่ขาดไม่เกิน 800 – 1400 ซีซี ขึ้นกับระยะ หรือตามสูตร

ปริมาณน้ำดื่มแต่ละวัน = ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน + 500 มิลลิลิตร

ถ้าไม่คุมการดื่มน้ำ ก็จะเกิดภาวะตัวบวมและเท้าบวมน้ำ หรือ เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ค่ะ

และถ้าไตเสื่อมระยะสุดท้าย ก็ต้องไป รพ. ไปฟอกไต 2-3 ครั้ง ต่อ สัปดาห์
และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในอัตราสูง ถ้าไม่ดูแลในเรื่องการทานอาหาร
การดื่มน้ำให้เหมาะสม ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย

และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไตเสื่อมระยะสุดท้าย ก็สูงไม่แพ้ โรคร้ายเลยนะค่ะ ซึ่งทางป้องกันที่ดีที่สุดของผู้ที่รู้ตัวว่าเริ่ม ไตเสื่อมระยะแรกๆ คือ

การชะลอความเสื่อมของไต เพื่อให้เข้าสู่ระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไต ฟอกไต ให้ช้าลง

และมีอะไรบ้างที่ทำให้ “ไตเสื่อม”

1.การทานยาต่อเนื่องนานๆ หรือปริมาณที่มากเกินไป ทั้งยาแก้ปวด แก้เครียด ยาแก้หวัด แก้ไอ ยาคุมฯ ซึ่งแม้กินยา แล้วอาการเหล่านั้นจะหาย แต่เคมีของยาก็จะตกค้างอยู่ในไต นั่นเองค่ะ

2.ใช้ชีวิตขาดสมดุล ไม่ว่าจะน้อยไป หรือมากไป ไม่พอเหมาะ อาทิ ทานอาหารรสจัดตลอดๆ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง เป็นต้น

3.เพศสัมพันธ์  มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง

 

ถ้าไม่อยากไตเสื่อมเร็วเกินไวอันควร เราต้องดูแล ไต ค่ะ

ง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การอยู่ การกิน การนอน ในหนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง

– นอน 8 ชั่วโมง

– ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (พักผ่อน ออกกำลังกาย เที่ยว ดูทีวี สรรทนาการ)

– ทำงาน 8 ชั่วโมง

และเมื่อไรที่กินยาเยอะ คนป่วยก็จะไตพัง กันมากขึ้น จากการกินยา แล้ววนมาหาหมอไตอีก ดังนั้น ต้องพิจารณาและตัดสินใจเองว่าจะจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน ไม่เสียสุขภาพ ค่ะ

 2,666 total views,  1 views today